วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ทดลอง


eNergy ทดลอง




      
      
              

eNergy ทดลอง ( ตามใจฉัน )





   

eNergy



     จากท่ีไม่ได้พบปะพูดคุยกันมานานวันนี้เหมือนได้ฤกษ์ดีที่จะพบปะกันอีกครั้งนะครับ....
     งานในครั้งนี้เริ่มต้นด้วยการตีความ ( แบบส่วนตัว ) ของคำมาก่อนหลังจากนั้นก็ได้
     ชุดความคิดกับเรื่องนี้ตามข้อความด้านบน ถ้าใครอ่านไม่เข้าใจหรือผมเขียนผิด 
     ก็ขออธิบายเพิ่มเติมนะว่า สิ่งๆหนึ่งได้เปลี่ยนหน้าที่ รูปลักษณ์  ได้สิ่งใหม่นั้น 
     ก็ถือว่ามีบริบทของ "พลังงาน" ผมจึงเริ่มต้นทำงานชิ้นนี้จากชุดความคิดแบบ( ส่วนตัว )
    

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ความคิดต้น ( ต้นความคิด )











                                                                             ผ่านกันมาหลายเดือนทีเดียวที่ไม่ได้มาพูดคุยกัน  ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ได้มาทำงานร่วมกันในเรื่อง " พลังงาน " หัวข้อนี้มีความกว้างมากในเรื่องการหยิบจับประเด็นและนี่ก็เป็นเรื่องที่พบกันอยู่ทุกวันเช่นเคย  เมื่อปิดเทอมทีผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเที่ยวเขาใหญ่มาเราได้รู้ว่าเทคโนโลยีและความเจริญต่างนั้นได้เข้าถึงแล้ว     สัตว์ป่าบ้างประเภทออกมาหากินนอกป่าอาจจะมาจากอาหารไม่พอหรือไม่ก็อาหารของคนอร่อยกว่า        แต่สิ่งที่แน่นอนนั้นคือธรรมชาติต้องเปลี่ยนแปลงตัวมันตามภาวะที่ได้รับผลมาจากมนุยษ์เรานั้นเอง  และเมื่อเราหันกลับมาดูตนเองแล้วเราใช้สิ่งของต่างๆไปมากมายจากธรรมชาติเพื่อมาเป็นพลังงานทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อผลผลิตต่างทางอุตสาหกรรม  ที่เป็น  " วงจรปิด "       ไม่ได้ ย้อนคืนสิ่งสุดท้ายให้แด่ธรรมชาตืเช่นก่อนเก่า      ดังนั้นสิ่งที่ผมเห็นคือการบอกเล่าเรื่องต่างๆที่เราได้มาจากธรรมชาติอย่างง่ายๆ เช่นกระดาษที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มันถูกใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย มากเกินพอดีถ้าเราย้อนกลับไปดูมันว่าจุดเริ่มต้นของมันมาจากไหนเราก็จะเห็นอย่างเด่นชัดว่ามันมาจากต้นไม้หนึ่งต้นแล้วถ้าเราต้นไม้หนึ่งต้นออกจากป่าดยเราไม่ปลูกกลับคืนก็เหมือนกับการฆ่าสัตว์ต่างทางอ้อมและเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราเองเป็นคนทำลายธรรมชาติทางอ้อมนั้นเอง  ผมคิดว่าถ้าเราลองมาเปรียบเปรยโดยการพับกระดาษเป็นรูปต้นไม้และสัตว์ต่างๆแล้ว    นั้นแหละคือเลือดเนื้อของมันจริงๆ      ถ้าเรายังจะใช้สิ่งของต่างๆอย่างนี้อยู่หรือเปล่า ?? และนี้ก็เป็นประเด็นของครั้งนี้นั้นเองครับ  


< แค่กระดาษหนึ่งแผ่น  แค่ต้นไม้หนึ่งต้น   แค่สัตว์ป่าหนึ่ง  ต่อไปอาจจะ      แค่คนหนึ่งคนที่ต้องตายเพื่อความต้องการ  ??  >









วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

MACRO + MAKRO ( 3 )








กลับมาอีกครั้งหลังจากที่ทำงานไปหนึ่งสัปดาห์การทำงานเริ่มต้นจากรวบรวมสิ่งที่มีและสิ่งที่ผ่านมาในหนึ่งเทอมผมได้รวบรวมงานทุกอย่างที่มีและได้ทำมาโดยคิดว่าเราสามารถนำข้อมูลมาออกแบบให้มันดูน่าสนใจได้โดยเริ่มจากการนำแนวความคิดที่ เมื่อเรานำ ข้อมูลที่มีอยู่มากมายมาบีบอัดรวมกันทำให้มันเล็กลงและสามารถบอกข้อมูลที่จำเป็นซึ่งผ่านการออกแบบมันก็จะเป็น การนำ makro มาที่มีมากๆรวมกันแล้วมันจะได้ออกมาในรูปแบบ marco ก็จะคล้ายๆกับการออกแบบอัตลักษณ์ แต่มันไม่ได้มีแค่รูปเพียงอย่างเดียวแต่จะบอกถึงขั้นตอนการทำงานมาด้วยแต่เมื่อมาสรุปกับอาจารย์แล้วมันออกไปทาง portforio รู้สึกได้เมื่อตอนอาจารย์และเพื่อนทักก็
เออจริงว่ะ แต่ในเมื่อมันมีอะไรมากมายขนาดนี้ก็น่าสนใจดีที่จะลองทำงาน ก็มีของเยอะอยู่แล้วน่าจะลองดูคิดให้ดี
ดูอีกทีมันก็มีอะไรน่ะ แต่ไอ้กระผมก็เป็นพวกคิดมาก( มาย ) แบบไม่จบไม่สิ้น หยิบอันโน้นอันนี้มาได้ก็เอามากองรวมกันจนมันใหญ่มากๆ หยิบจับประเด็นไม่ได้ซักทีเอาเป็นว่าต้องลองทำกันต่อไปแต่นี้จะสิ้นเทอมแล้ว ความหวังริบหรี่แต่ต้องตัดสินใจเอาไงก็เอากันฟะ ลองอีกซักตั้งเพราะไม่มีอะไรให้เสีย มีแต่จะได้สิ่งใหม่เท่านั้นสงครามเริ่มอีกครั้งต้องสู้รบกับตัวเองอีกรอบ ...............................

MACRO + MAKRO ( 2 )

ผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์กับใบเสร็จ
........ ........ .... เหมือนมีแต่ลมผ่านไปผ่านมาจับต้องไม่ได้เลย ไปพูดคุยกับคนโน้นที....คนนี้ทีก็ว่า พี่คิดดีอยู่แล้ว ลองดูดิพี่แต่ผมว่าต้องลองถามอาจารย์ว่ะ แต่เอายังไงก็ต้องลองดูก่อน สรุปสุดท้าย..ที่ว่าใบเสร็จมันเป็นสิ่งที่บอกทุกอย่างเอาไว้ ณ.ที่เดียวกันและมันมีบริบทส่วนตัวของมัน ผมจึงหันกลับไปหาเรื่องราวที่น่าจะนำมาเล่นกับตัวมัน เลยคิดว่าเมื่อเราเรียนและทำงานในสายอาชีพงานออกแบบที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเราทำอะไรไปบ้างที่มันสวยๆนะ เราต้องใช้อะไรกว่าจะคิดได้ ต้องมีข้อมูล ต้องเสียเวลาหาโน้นนี่ ต้องเดินทางไปสำรวจค้นคว้า และต้องมานั่งทำให้ดูสวยงามและไม่ละทิ้งประเด็นด้วย ในที่สุดคิดว่าเราน่าจะออกแบบ รูปแบบใบประมวลผล“ ใบเสร็จ ”ในการทำงานในสายการออกแบบนี้เพื่อจะได้นำไปคิดหรือบอกกล่าวกับลูกค้าได้ในตอนสรุปงาน( คิดเงิน) ที่ทุกวันนี้ในวงการยังคงประสบปัญหากันอยู่ โดยได้แนวความคิดมาจากงาน “เมาธ์มัน มันนี่ “ ก็ได้ลองทำแบบคราวๆไปให้อาจารย์ดู เอาลองดูอีกครั้ง!! แต่
หลังจากการเสนองานอีกครั้งกับอาจารย์.......โอ้ อะไรกันนี่มันดูยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้เมื่อได้ฟังการ comment รู้สึกว่าเราเป็น marco ของโลกใบเล็กๆนี้ สิ่งที่เราทำไปมันเป็นระนาบแบนๆ เหมือนที่คนสมัยก่อนคิดว่าโลกนี้แบนเลยที่เดียว การที่เราทำไปนั้นไม่ได้คำนึงถึงเรื่องอื่นๆอีกที่มันมี ไม่ใช่แค่มาบอกตัวเลขว่าทำไปเป็นค่าเท่าไรมีหน่วยอะไร แต่ในนั้นมันยังมีสิ่งอื่นๆอีกมากมายไม่ว่าคุณจะไปพบใคร เก็บอะไรมาได้บ้าง รูปแบบของมันเป็นยังไง อยู่ที่ไหน ฯลฯ ลองกลับไปดูซิว่าที่ทำงานผ่านมานะไปเจออะไรมาบ้างแล้วมันควรจะออกแบบกับมันยังกับไอ้ข้อมูลหรือสิ่งที่เรามี โอ้โห..... หัวแตก